
พระประจำวันเกิด ทั้ง 7 วัน
*ความเป็นมา/ความหมาย*
*บทสวดบูชาพระประจำวันเกิด*
การกราบไหว้ บูชา พระพุทธรูป เพื่อการระลึกถึงพระศาสดา
ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับการปฏิบัติบูชา
ที่เป็นการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
แต่พระพุทธรูปปางต่างๆ
ก็เสมือนเครื่องน้อมนำศรัทธาชาวพุทธที่สนใจธรรมขั้นต้น
ให้ใคร่รู้ในธรรมขั้นสูงต่อไป
ชาวพุทธเรานิยมบูชาพระเป็นจำนวนมาก
จึงควรทราบข้อธรรม ความเป็นมาของพระพุทธรูปปางต่างๆ
จึงขอนำมาแบ่งปัน ดังนี้

พระประจำวันอาทิตย์ (ปางถวายเนตร)
พระพุทธรูปที่อยู่ในพระอริยาบถยืน
ลืมพระเนตรทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า
พระหัตถ์ทั้งสองประสานกัน อยู่ระหว่างพระเพลา (ตัก)
พระหัตถ์ขวาซ้อนเหลื่อมพระหัตถ์ซ้าย
อยู่ในพระอาการสังวรทอดพระเนตรดูต้นพระศรีมหาโพธิ์
ความเป็นมาในพุทธกาล
เมื่อครั้งพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (สุขอันเกิดจากความสงบ)
อยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นระยะเวลา 7 วัน
จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน
ณ ที่กลางแจ้งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์
โดยไม่กระพริบพระเนตร ตลอดระยะเวลา 7 วัน
ซึ่งสถานที่ดังกล่าวได้มีนามปรากฏว่า "อนิมิสเจดีย์"
มาจนปัจจุบัน เป็นเหตุแห่งการสร้าง
พระพุทธรูปปางนี้เรียกว่า ปางถวายเนตร
เพื่อระลึกถึงในข้อกตัญญูกตเวทิตาคุณ
อันมีพระศาสดาทรงเป็นแบบอย่าง
ที่ทรงระลึกบุญคุณที่พระองค์อาศัย
ร่มเงาของต้นพระศรีมหาโพธิ์
จนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูป
เพื่อสักการะบูชาประจำของคนเกิด วันอาทิตย์
บทสวดบูชา
อุเทตะยัญจักขุมา เอกะราชา
หะริสสะวัณ โณ ปะฐะวิปปะภาโส ตัง ตัง
นะมัสสามิ หะริสสะวัณณัง
ปะฐะวิปปะภาสัง ตะยัชชะคุต ตา วิหะเรมุ
ทิวะสัง เย พราหมะณา เวทะคุ สัพพะ ธัมเม
เต เม นะโม เต จะ มัง
ปาละ ยันตุ นะมัตถุ พึทธานัง นะมัตถุ โพธิยา
นะ โม วิมุตตานัง นะโม
วิมุตติยา อิมังโส ปะริตตัง
กัตวา โมโร จะระติ เอสะนา
สวดวันละ 6 จบ รุ่งเรืองสุขสวัสดีตลอดกาล

พระประจำวันจันทร์ (ปางห้ามญาติ)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน
พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ(อก)
ตั้งฝ่าพระหัตถ์ยื่นออกไปข้างหน้า
ความเป็นมาในพุทธกาล
ปางห้ามญาติเกิดขึ้นเนื่องจาก
พระญาติฝ่ายพุทธบิดาคือกรุงกบิลพัสดุ์
และพระญาติฝ่ายพุทธมารดา คือ กรุงเทวทหะ
ซึ่งอาศัยอยู่บนคนละฝั่ง ของแม่น้ำโรหิณี
เกิดทะเลาะวิวาทแย่งน้ำ เพื่อไปเพาะปลูกกันขึ้น
ถึงขนาดจะยกทัพทำสงครามกัน
พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไปเจรจาห้ามทัพ
คือ ห้ามพระญาติมิให้ฆ่าฟันกัน
ทรงแสดงโทษคือความพินาศของชีวิตมนุษย์
ไม่สมควรที่พระราชาจะต้อมล้มตาย
ทำลายเกียรติของตน เพียงเพราะน้ำ
ที่สุดพระญาติทั้งสองฝ่ายก็ทำความเข้าใจและหันมาสามัคคีกัน
พระหัตถ์ขวาที่ยกขึ้นเสมอพระอุระนั้น
เป็นบุคลาธิษฐานว่า ให้มีสติระงับยับยั้ง
อย่าอยู่ใต้อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลง
แล้วชีวิตจะพบความสุขสงบโดยไม่ต้องสงสัย
บทสวดบูชา
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย
จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปิ นัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย
จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโหทุสสุปิ นัง อะกันตัง
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะโย
จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโหทุสสุปิ นัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
สวดวันละ 15 จบ
ความสุข ความเจริญ ปราศจากโรคาพยาธิทั้งปวง

พระประจำวันอังคาร (ปางไสยาสน์)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถนอนตะแคงขวา
พระบาททั้งสองข้างซ้อนทับเสมอกัน
พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระวรกาย
พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรับพระเศียร
และมีพระเขนย (หมอน) รองรับ
ความเป็นมาในพุทธกาล
ปางไสยาสน์ เป็นพุทธประวัติตอนที่
พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้พระจุนทะเถระ
ปูอาสนะลงที่ระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง
แล้วทรงประทับบรมทม แบบสีหไสยาส์
ตั้งพระทัยไม่เสด็จลุกขึ้นอีก แต่ก็ยังได้โปรดสุภัททปริพาชก
เป็นอรหันต์องค์สุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายพากันเศร้าโศก
ร่ำไห้ คร่ำครวญถึงพระองค์
พระอานนท์และพระอนุรุทธเถระ
ได้แสดงธรรมเพื่อปลอบโยนมหาชน
ทรงแสดงธรรมสั่งสอนพุทธบริษัท4
มีใจความว่า บุคคลที่ปฏิบัติตามพระองค์แล้ว
ให้เข้าใจในอิริยาบทของธรรม มี4อย่าง
คือ นั่ง นอน ยืน เดิน ซึ่งเป็นอิริยาบทที่สำรวม
ไม่มีความสะดุ้งหวาดกลัวในสิ่งที่ตนปฏิบัติ
เพื่อนำไปสู่มรรคผลนิพพาน
ผู้ใดเพียรทำ ย่อมได้รับผลแน่นอน
พุทธศาสนิกชนเมื่อรำลึกถึงการเสด็จปรินิพพานของพระองค์
จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางนี้ขึ้น เพื่อบูชาพระพุทธองค์
บทสวดบูชา
ยัสสานุสสะระเณนาปิ อันตะลิก เขปิ ปาณิ โน
ปะติฏิฐะมะธิ คัจฉันติ ภูมิยัง
วิยะ สัพพะทา สัพพูปัททะวะชาลัมหา
ยักขะโจราทิ สัมภะวา คะณะนานะ
จะ มุตตานัง ปะริตตันตัม ภะณามะ เห
สวดวันละ 8 จบ เกิดผลดี

พระประจำวันพุธ กลางวัน (ปางอุ้มบาตร)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน
พระหัตถ์ทั้งสองประคองบาตรราวสะเอว
ความเป็นมาในพุทธกาล
เมื่อพระพุทธเจ้าได้สำแดงอิทธิปาฏิหารย์
เหาะขึ้นไปในอากาศ ต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลาย
เพื่อให้พระญาติผู้ใหญ่ได้เห็น และละทิฏฐิถวายบังคมแล้ว
จึงได้ตรัสเทศนาเรื่องพระมหาเวสสันดรชาดก
หลังแสดงธรรมจบ
พระญาติทั้งหลายที่มีพระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงเป็นประธาน ก็พากันปิติ
สาธุการแล้วกราบทูลลาแยกย้ายกันกลับ
โดยไม่ได้ทูลอาราธนาฉันพระกระยาหารเช้า
ด้วยไม่ทรงทราบว่าสมณะต้องได้รับอาราธนา
จึงมารับบิณฑบาตในเคหะสถานได้
และด้วยเข้าใจผิดคิดว่า พระองค์เป็น
ราชโอรสและพระสงฆ์ก็เป็นศิษย์
คงต้องฉันภัตตาหารที่จัดเตรียมไว้
ในพระราชนิเวศน์แน่นอน
แต่พระพุทธองค์กลับพาพระภิกษุสงฆ์สาวก
เสด็จจาริกไป ตามถนนหลวงในเมือง
เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ (ผู้ที่พึงสั่งสอนได้)
อันเป็นกิจของสงฆ์ และนับเป็นครั้งแรก
ที่ชาวเมืองกบิลพัสดุ์ได้มีโอกาสชม
พระพุทธจริยาวัตรขณะทรงอุ้มบาตรโปรดสัตว์
ประชาชนจึงต่างแซ่ซ้องอภิวาทอย่างสุดซึ้ง
แต่ปรากฏว่าพระเจ้าสุทโธทนะ
พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็เข้าใจผิด
และโกรธพระพุทธองค์ หาว่าออกไปขอทานชาวบ้าน
ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมไว้
พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงอธิบายว่า
การออกบิณฑบาตรเป็นการไปโปรดสัตว์
มิใช่การขอทาน จึงเป็นที่เข้าใจกันในที่สุด
เมื่อรับอาหารที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาใส่บาตร
พระพุทธองค์จะเสวยโดยแบ่งเป็น3กอง
กองที่หนึ่งทรงนำมาเสวย
กองที่สองให้ทานไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์
กองที่สามทรงส่งไปให้แก่ญาติโยมผู้ล่วงลับ
เมื่อเสวยเสร็จก็จะสอนพระธรรมมีความว่า
อันศรัทธาคือความเชื่อ ความสำเร็จ
อาศัยศรัทธาเป็นที่ตั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ศรัทธาจิต
หมายถึง จิตใจผ่องใส ความสุขกายสุขใจจึงตามมา
บทสวดบูชา
สัพพาสีวิสะชาตีนัง ทิพพะมันตาคะทัง วิยะ
ยันนาเสติ วิสัง โฆรัง เสสัญจาปิ ปะริสสะยัง
อาณักเขตตัมหิ สัพพัตถะ สัพพะทา สัพพะปาณินัง
สัพพะโสปิ นิวาเรติ ปะริตตันตัมภะณามะ เห
สวดวันละ 17 จบ ความสุขสวัสดียิ่งๆขึ้นไป

พระประจำวันพุธ กลางคืน (ปางป่าเลไลยก์)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถประทับ(นั่ง)
บนก้อนศิลา พระบาททั้งสองวางบนดอกบัว
พระหัตถ์ซ้ายวางคว่ำบนพระเพลา (ตัก)
พระหัตถ์ขวาวางหงายพระชานุ (เข่า)
นิยมสร้างช้างหมอบใช้งวงจับกระบอกน้ำ
อีกด้านหนึ่งมีลิงถือรวงผึ้งถวาย
ความเป็นมาในพุทธกาล
กล่าวถึงเมื่อพระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี
ครั้นนั้นพระภิกษุไม่สามัคคีปรองดอง
ไม่อยู่ในพุทธโอวาท ประพฤติตามใจตัว
พระองค์จึงเสด็จจาริกไปอยู่ตามลำพัง
พระองค์เดียวในป่าที่ชื่อว่า ปาลิไลยกะ
โดยมีมีพญาช้างเชือกหนึ่งชื่อ ปาลิไลยกะ
มีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์
มาคอยปฏิบัติบำรุงและคอยพิทักษ์รักษา
มิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกราย ทำให้พระพุทธองค์
เสด็จประทับอยู่ในป่านั้นด้วยความสงบสุข
ครั้นพญาลิงเห็นพญาช้างปรนนิบัติ
พระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ
ก็เกิดกุศลจิตทำตามอย่างบ้าง
ต่อมาชาวบ้านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแต่ไม่พบ
และทราบเหตุ ก็พากันตำหนิติเตียน
และไม่ทำบุญกับพระที่แตกแยกเหล่านั้น
พระภิกษุจึงสำนึกผิด ขอให้พระอานนท์ไปทูลเชิญ
เสด็จพระพุทธองค์กลับมา ช้างปาลิไลยกะ ก็มาส่งเสด็จ
ด้วยความเศร้าเสียใจ จนหัวใจวายล้มตายไป
ด้วยกุศลผลบุญจึงได้ไปเกิดเป็น "ปาลิไลยกะเทพบุตร"
และป่านั้นต่อมาก็ได้ชื่อว่า "รักขิตวัน"
จากเหตุการณ์นี้ ถือว่าเป็นเหตุการณ์
อันน่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงพฤติกรรมของพระ 2 ฝ่ายในขณะนั้น
หมู่ใดหากขาดความสามัคคีแล้ว
ย่อมหาความสุขได้ยาก
พุทธศาสนิกชนจึงได้สร้างพระปางนี้ขึ้น
เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจ
ถึงการแตกสามัคคี การทะเลาะวิวาทกัน
ควรน้อมนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต
เพื่อนำความผาสุกมาสู่ตนและคนรอบข้าง
เหตุที่แยก วันพุธ กลางวัน และ กลางคืน
ตามโหราศาสตร์แบ่งทักษาเป็น8ภูมิ แต่1สัปดาห์มี7วัน
จึงนำวันพุธซึ่งอยู่กลางสัปดาห์พอดี
โดยนับพระอาทิตย์ขึ้น-ตก เป็น พุธ กลางวัน
และพระอาทิตย์ตก-ขึ้น เป็น พุธ กลางคืน
บทสวดบูชา
กินนุ สันตะระมาโนวะ ราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธาคาถาภิคิโตมหิ โนเจ มุญเจยะ จันทิมันติ
สวดวันละ 12 จบ จะมีความเจริญสุขสวัสดี

พระประจำวันพฤหัสบดี (ปางสมาธิ)
พระอริยาบถประทับ(นั่ง) ขัดสมาธิ
พระหัตถ์ทั้งสองวางหงายซ้อนกันบนพระเพลา(ตัก)
พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
พระชงฆ์(แข้ง)ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย
ความเป็นมาในพุทธกาล
ปางตรัสรู้ คือ ปางที่พระโพธิสัตว์
ทรงประทับขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคา
ใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
และได้ตรัสรู้ พระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6
ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ซึ่งก็ตรงกับวันวิสาขบูชานั่นเอง
พระพุทธรูปปางสมาธิ มีเพื่อเตือนใจ พุทธบริษัท4
เพียรทำความดี เว้นความชั่ว ทำจิตใจผ่องใส
ให้ประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม
อย่าให้กิเลศใดๆ ทำให้มัวหมอง
บทสวดบูชา
ปูเรนตัมโพธิสัมภาเร นิพพัตตัง วัฏฏะชาติยัง
ยัสสะ เตเชนะ ทาวัคคิ มะหาสัตตัง วิวัชชะยิ
เถรัสสะ สารีปุตตัสสะ โลกะนาเถนะ ภาสิตัง
กัปปัฏฐายิ มะหาเตชัง ปะริตตันตัมภะณามะ เห
สวดวันละ 19 จบ ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

พระประจำวันศุกร์ (ปางรำพึง)
พระพุทธรูปอยู่ในพระอริยาบถยืน
พระหัตถ์ทั้งสองประสานกัน
ยกขึ้นประทับที่พระอุระ (อก)
พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย
ความเป็นมาในพุทธกาล
ภายหลังจากที่ตรัสรู้ได้ไม่นาน
พระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ภายใต้ต้นไทร (อชปาลนโครธ)
ก็ได้ทรงรำพึงพิจารณาถึงธรรมที่ตรัสรู้ว่า
เป็นธรรมที่มีความละเอียดลึกซึ้ง
ยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้
จึงเกิดความท้อพระทัยรำพึง
ว่าจะมีใครสักกี่คนที่ฟังธรรมะของพระองค์เข้าใจ
ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหม
มากราบทูลอาราธนาเพื่อทรงแสดงธรรม
และกล่าวว่า ในโลกนี้บุคคลที่มีกิเลสเบาบาง
พอฟังธรรมได้ยังมีอยู่ พระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณา
แล้วก็เห็นชอบด้วย อีกทั้งทรงรำพึง
ถึงธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
แต่ปางก่อนว่าตรัสรู้แล้วก็ย่อมแสดงธรรม
โปรดสัตว์โลก เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนทั้งปวง
จึงได้น้อมพระทัยที่จะแสดงธรรม
ตามคำอาราธนานั้น และตั้งพุทธปณิธาน
จะใคร่ดำรงพระชนม์อยู่จนกว่า
จะได้ประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายมั่นคงสำเร็จ
ประโยชน์แก่ชนทุกหมู่เหล่าต่อไป
พระพุทธจริยาที่ทรงรำพึงถึงธรรมที่จะ
เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า ปางรำพึง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องใช้ความเพียร
ในการสั่งสอนธรรมพุทธบริษัทควรระลึกถึงพระพุทธคุณ
น้อมนำธรรมะมาปฏิบัติ เพื่อมุ่งสู่ความหลุดพ้น
บทสวดบูชา
ยัสสานุภาวะโต ยักขา เนวะ ทัสเสนติ ภิงสะนัง
ยัมหิ เจวานุยุญชันโต รัตตินทิวะมะตันทิโต
สุขัง สุปะติ สุตโต จะ ปาปัง กิญจิ นะ ปัสสะติ
เอวะมาทิคุณูเปตัง ปะริตตันตัมภะณามะ เห
สวดวันละ 21 จบ สุขสวัสดีตลอดกาลนาน

พระประจำวันเสาร์ (ปางนาคปรก)
พระอริยาบถประทับ(นั่ง) ขัดสมาธิ
หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนพระเพลา(ตัก)
พระหัตถ์ขวาซ้อนทับพระหัตถ์ซ้าย
มีพญานาคขนดร่างเป็นวงกลมเป็นพุทธบัลลังก์
และแผ่พังพานปกคลุมอยู่เหนือพระเศียร
ความเป็นมาในพุทธกาล
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้
และประทับบำเพ็ญสมาบัติเสวยวิมุตติสุข
อันเกิดจากความพ้นกิเลส อยู่ ณ อาณาบริเวณที่ไม่ไกล
จากต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งละ 7 วันนั้น
ในสัปดาห์ที่ 3 นี้เอง ก็ได้ไปประทับใต้ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก)
ขณะนั้นสายฝนได้ตกลงมาไม่หยุด
พญานาคตนหนึ่งชื่อ พญา มุจลินท์นาคราช 7 เศียร
จึงถวายอารักขาเข้าไปขนดล้อมพระวรกาย
แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้
เป็นเศวตฉัตร บัง ลม ฝน เหลือบ ยุง ริ้น
สัตว์เลื้อยคลานทั้งมวลด้วย
มิให้ต้องพระวรกายพระผู้มีพระภาคเจ้า
จนฝนหายจึงได้แปลงร่างเป็นมาณพ
ยืนทำอัญชลีถวายนมัสการพระพุทธองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงอุทานว่า
ความสงัดเป็นสุขของผู้มีธรรม
อันได้สดับแล้วรู้เห็นสังขารตามความจริง
ความไม่เบียดเบียน คือ ความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
ความปราศจากความกำหนัด
คือ ก้าวล่วงกามทั้งปวงเสียได้
ความขาดอัสมิมานะ คือ ความถือตัวตนให้หมดได้นี้
เป็นสุขอย่างยิ่ง
พระพุทธปฏิมาปางนาคปรก
เป็น ตัวแทนสื่อถึง โพชฌงค์7
ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ 7 ประการ
คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา
บทสวดบูชา
ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต
นาภิชานามิ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา
เตนะ สัจเจนะ โสตถิ เต โหตุ โสตถิ คัพภัสสะ
สวดวันละ 10 จบ ความสุขสวัสดี มีมงคลตลอดกาลนาน
.
.
.
.
.
หากผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ค่ะ
.
.
วายทีเจมส์ ขอให้ท่านที่เข้ามาชม
พบ ความโชคดี ความสมบูรณ์มั่งมี
ความสำเร็จดั่งใจมุ่งหวัง ทุกท่านค่ะ
ดู"พระประจำวันเกิด"ทั้งหมด
YT GEMS ยินดีบริการทุกท่านค่ะ